วัดใหญ่ท่าเสา

วัดใหญ่ท่าเสา ตั้งอยู่ในเขตชุมชนท่าเสา ตำบลท่าเสา อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองอุตรดิตถ์ และอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟท่าเสา วัดใหญ่ท่าเสาน่าจะสร้างขึ้นมาพร้อมกับชุมชนท่าเสาเมื่อราวสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเป็นอย่างน้อย ผู้คนในชุมชนท่าเสามีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ เนื่องจากชุมชนท่าเสาเคยเป็นชุมทางการค้าที่สำคัญในลุ่มน้ำน่าน จึงมีทั้งชาวไทย ชาวจีน ชาวไทยวน (ล้านนา) และชาวลาว เข้ามาตั้งถิ่นฐานและอยู่อาศัยสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน

สิ่งที่น่าสนใจภายในวัดใหญ่ท่าเสา

1. โบสถ์ เป็นโบสถ์ขนาดเล็กมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบสมัยอยุธยาตอนปลาย บานประตูเป็นไม้แกะสลัก 2 บาน หน้าบันด้านหน้าเป็นไม้แกะสลักรูปเทพนมและลายไทย ส่วนหน้าบันด้านหลังเป็นไม้แกะสลัก

2. หอไตร มีลักษณะเป็นไม้ยกพื้น เสาเป็นปูน หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา หน้าบันเป็นไม้แกะสลัก หน้าบันทางด้านทิศตะวันออกเป็นรูปหน้ากาล แวดล้อมไปด้วยลายพันธุ์พฤกษาและรูปเทพยดา เบื้องหลังเป็นลายลายก้านขด ทางด้านบนสุดของหน้าบันเป็นรูปครุฑยุดนาค ส่วนหน้าบันทางด้านทิศตะวันตกเป็นลายกนกก้านขดธรรมดา เชิงชายคาเป็นไม้แกะสลักอย่างงดงาม ส่วนช่อฟ้าและใบระกาทำด้วยปูนปั้น
นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีศาลาการเปรียญขนาดใหญ่ เดิมเป็นศาลาไม้ยกพื้น ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นครึ่งไม้ครึ่งคอนกรีต บนศาลาการเปรียญมีโบราณวัตถุอันเป็นสิ่งที่พุทธศาสนิกชนถวายเป็นพุทธบูชาและอุทิศให้บรรพบุรุษจำนวนมาก เมื่อมีการปรับปรุงศาลาการเปรียญใหม่และมีโจรผู้ร้ายชุกชุม เจ้าอาวาสวัดใหญ่ท่าเสาจึงนำโบราณวัตถุต่างๆ ไปเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย ในปี พ.ศ. 2540 จึงนำโบราณวัตถุมาจัดแสดงเพื่อให้พุทธศาสนิกชน นักท่องเที่ยวและนักเรียนนักศึกษาเข้ามาเยี่ยมชมโบราณวัตถุได้

3. พิพิธภัณฑ์วัดใหญ่ท่าเสา ตั้งอยู่บนชั้น 2 ภายในกุฏิเจ้าอาวาสวัดใหญ่เท่าเสา ซึ่งเป็นอาคารคอนกรีตขนาดใหญ่ ภายในจัดแสดงโบราณวัตถุที่พบในบริเวณวัดใหญ่ท่าเสา ซึ่งมีโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ ได้แก่

4. ยานมาศไม้แกะสลัก สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์เสด็จมาวัดใหญ่ท่าเสาเมื่อปี พ.ศ. 2444 ทรงสันนิษฐานว่าเป็นยานมาศสำหรับแห่พระ เป็นยานมาศที่สูงมากหลังคานมีตัวนาค ฐานเป็นสิงห์สองชั้นแล้วเป็นที่นั่ง มีไม้แกะเป็นรูปบัวกระจังลอยตัวอยู่ทั้ง 4 มุม ส่วนด้านหลังพนักพิงเป็นรูปกลีบบัวลอยตัวขึ้นมาซ้อนกัน 2 กลีบ ตามผิวไม้พบร่องรอยการลงรักปิดทอง ยานมาศนี้เชื่อกันว่าเป็นยานมาศที่พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาอุทิศถวายบูชาพระมหาธาตุเมืองฝาง และอาจใช้เป็นยานมาศประจำตัวพระสังฆราชาเมืองสวางคบุรี (เมืองฝาง) ก็เป็นได้ เพราะที่มาของยานมาศนี้สันนิษฐานว่า นำมาจากวัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถในราวสมัยรัชกาลที่ 4 โดยหลวงพ่อเย็ก อดีตเจ้าอาวาสวัดใหญ่ท่าเสาซึ่งได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสวางคบุรี

5. ธรรมาสน์เทศน์ เป็นธรรมาสน์ไม้แกะสลัก ศิลปะรัตนโกสินทร์ตอนต้น ส่วนบนหรือหลังคาธรรมาสน์เป็นทรงมณฑปยอดปราสาท ส่วนล่างประดับด้วยไม้แกะสลักรูปยักษ์แบก มีบันไดนาคเป็นทางขึ้นธรรมาสน์ ตัวธรรมาสน์แวดล้อมไปด้วยไม้แกะสลักเป็นรูปสัตว์ต่าง เช่น ช้างและกวาง เป็นต้น

6. พระแผง ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปขนาดเล็กที่ทำด้วยครั่ง นำมาติดเรียงกันบนแผงหรือแผ่นไม้แกะสลัก ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เก็บรักษาและจัดแสดงพระแผงทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กไว้มากกว่า 10 แผง กรอบพระแผงด้านบนส่วนใหญ่เป็นกรอบหรือซุ้มรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซุ้มแผงรูปพญานาค ลายกนก และลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ส่วนฐานหรือด้านล่างกรอบพระแผงมีการแกะสลักเป็นรูปหรือลวดลายที่งดงามมาก ทั้งรูปเทวดาร่ายรำ รูปยักษ์แบก รูปหม้อน้ำและรูปแจกัน

[adsense-2]

7. ตู้และหีบพระธรรม ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีตู้และหีบพระธรรมกว่า 10 หลัง ซึ่งแต่ละหลังเขียนลายรดน้ำปิดทองและปิดทองล่องชาด ศิลปะอยุธยาตอนปลาย-รัตนโกสินทร์ตอนต้น แสดงเรื่องราวพุทธประวัติ รามเกียรติ์ ป่าหิมพานต์และรูปทวารบาล

นอกจากนี้ ภายในพิพิธภัณฑ์ยังมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักจำนวนมาก เนื่องจากว่าการสร้างพระพุทธไม้หรือพระเจ้าไม้เป็นวัฒนธรรมที่นิยมของชาวล้านนาและล้านช้าง จึงทำให้ที่วัดนี้มีพระพุทธรูปไม้แกะสลักศิลปะฝีมือช่างท้องถิ่นจำนวนมาก นอกจากนี้มีพระพุทธรูปขนาดเล็กที่ทำด้วยครั่ง ฆ้องและระฆังเก่า ใบเสมาหินชนวน ไม้แกะสลักเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ เครื่องสังคโลก เครื่องถ้วยลายครามและภาชนะทองเหลือง

 การเดินทาง

รถยนต์ส่วนตัว

วัดใหญ่ท่าเสาอยู่ที่ตำบลท่าเสา อยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมืองอุตรดิตถ์ โดยเดินทางไปตามถนนสำราญรื่น แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอย 10 เดินทางเข้าไปอีก 3 กิโลเมตร ก็จะถึงวัด

แผนที่

ความเห็น

ความเห็น